หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รักษาโรค “ผึ้งบำบัด”

มหัศจรรย์! “ผึ้งบำบัด” 

            ในปัจจุบันนี้ นอกจาก ผึ้งจะเป็นแมลงผสมเกสรที่มีส่วนช่วยขยายพันธุ์พืชแล้ว ผึ้งกลายเป็นแมลงเศรษฐกิจที่สามารถสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้ เกษตรกรในหลายพื้นที่ ซึ่งมีการเลี้ยงผึ้งเพื่อผลิต น้ำผึ้ง นมผึ้ง เกสรผึ้ง ไขผึ้งและพรอพอลิส (Populist) สู่ตลาดและผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ผึ้ง อาทิ สบู่สูตรผสมน้ำผึ้ง แชมพูสูตรผสมน้ำผึ้ง ครีมนวดสูตรผสมน้ำผึ้ง และยาหม่องไขผึ้งผสมสมุนไพร เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าด้วย
สำหรับในประเทศไทย แพทย์หญิง มิตรา คาสลี่ กล่าวว่า มีการนำผลิตภัณฑ์จากผึ้งมาใช้ประโยชน์ ตั้งแต่ น้ำผึ่ง เกสรผึ้ง นมผึ้ง พรอพอลิส ไขผึ้ง ส่วน พิษผึ้งใช้ประโยชน์ ในการรักษาโรค บำบัดอาการ ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยรักษาหลายอาการ เช่น มีฤทธิ์ต้านไวรัส แก้ปวด ช่วยปรับภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ
โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจึงได้เปิดคลินิกผึ้งบำบัด(Apitherapy) ให้บริการรักษาด้วยผึ้ง ณ ศูนย์การแพทย์ทางเลือก ชั้น 2 อาคารผู้ป่วยนอก  ในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ เวลา 09.00-12.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ 0-5391-6822-3 หรือ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 0-5391-7581 
โดย ผศ.พญ.มิตรา  คาสลี่ รอง คณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
http://www.mfu.ac.th/hospital/bee_clinic.php


วิธีผึ้งบำบัด โดยฝังเหล็กใน

 คลินิกผึ้งบำบัด (Apitherapy)       ผึ้งบำบัด หมายถึง การนำผลิตภัณฑ์จากผึ้งมาใช้ประโยชน์ ในการรักษาโรค บำบัดอาการ หรือมุ่งประโยชน์ต่างๆทางสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้แก่ น้ำผึ้ง รวงผึ้ง ตัวอ่อนของผึ้ง เกสรผึ้ง พรอพอลิส ซึ่งเป็นยางไม้ที่ผึ้งเก็บมาใช้ยารวงเพื่อกันน้ำ และเชื้อโรค ท้ายที่สุดคือพิษผึ้ง ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ในประเทศไทยและมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้นำเข้ามาใช้รักษาผู้ป่วยในคลินิกการ แพทย์ทางเลือก             
การใช้ผึ้งรักษาเป็นแนวทางการรักษาทางเลือกหนึ่ง โดยฝังเหล็กในลงตามหลักการฝังเข็ม และพิษผึ้งจะมีฤทธิ์รักษาหลายการโดยเฉพาะแก้ปวด ช่วยปรับอุณภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ เป็นต้น ความสำเร็จในการักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนใช้ผึ้งต่อยครั้งเดียวหาย บางคนต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรืออาจจะต้องมองหาแนวทางอื่นที่เหมาะสมมากกว่าต่อไปโรคที่เหมาะแก่การรักษาด้วยผึ้งบำบัด แบ่งเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ
กลุ่มแรก เป็นกลุ่มอาการปวด และอาการขา ได้แก่ ปวดศีรษะเรื้อรัง ไมเกรน ปวดเอว ปวดไหล่ ปวดขา ปวดต้นคอ ปวดประจำเดือน คอตกหมอน อาการมือชา เท้าชา
กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มอาการไขข้อ ไขข้ออักเสธรูมาตอยด์ ไขข้ออักเสบ โรคข้อเข่าเสื่อม นิ้วล็อก เส้นเอ็นอักเสบ โรคเกาต์
กลุ่มสุดท้าย คือ โรคและอาการอื่นๆ เช่น ริดสีดวง ตะคริวน้อง ไซนัสอักเสบ นอนกรน เลิกบุหรี่ อัมพฤกษ์ อัมพาต ผู้มีบุตรยาก โรคอัลไซเมอร์

ศูนย์ผึ้งบำบัด บิ๊กบี สหคลินิก

ได้ให้บริการด้าน ผึ้งบำบัด แพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย มีวัตถุประสงค์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ความรู้ทางด้านผึ้งบำบัดให้ได้รับความนิยมในเมืองไทย
www.bigbeeclinic.com/Apitherapy2.php
ตั้งอยู่ 41/10 หมู่ 3 ถ.กะทิงลาย พัทยา ต.หนองปลาไหล อ.บางละมุง จ.ชลบุรี 20150
เปิดบริการทุกวัน 09.00 น.-17.00 น.ติดต่อสอบถามและนัดเวลารักษา โทร.087-0550500, 089-8328059

นิยามของผึ้งบำบัด

ผึ้งบำบัด หมายถึง การบำบัด บรรเทา หรือการรักษาอาการโดยการใช้ผลิตภัณฑ์ผึ้ง อันได้แก่ น้ำผึ้ง นมผึ้ง เกสรผึ้ง ไขผึ้ง พรอพอริส และพิษผึ้ง
          ผึ้งบำบัดในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Apitherapy และในภาษาจีน เรียกว่า ฟงเหลียว โดยหลักกการแล้ววิถีแห่งผึ้งบำบัดใช้ปรัชญาพื้นฐานของคำว่า อาหารเป็นยาต้านโรคภัย อีกทั้งการใช้พิษผึ้งมีที่มาของหลักที่ว่า พิษต้านพิษ หรือที่เรียกว่า Homeopathy
          ผึ้งบำบัด คือ การใช้พิษผึ้ง โดยการฝังตามจุดประสาทลมปราณด้วยเหล็กไนผึ้ง โดยจะต้องควบคู่ไปกับ การบริโภคผลิตภัณฑ์ผึ้งอื่นๆ ซึ่งเพื่อส่งผลต่อการบำบัดอาการหรือโรคได้เต็มประสิทธิภาพโดยเฉพาะในการรักษาโรคเรื้อรัง ซึ่งอาจจะต้องได้รับการฝังเข็มด้วยเหล็กไนผึ้งเป็นเวลาหลายครั้ง
          การใช้ผึ้งบำบัด หรืออะพิเธอราพี มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในชนชาติกรีก ยีอิปต์ และจีน ที่มีการใช้น้ำผึ้งในชีวิตประจำวันมากกว่าพันปีซึ่งปรากฏอยู่ในคำภีร์ Veda และ Bible ซึ่งน้ำผึ้งและพรอพอริส สารสกัดที่ได้จากยางไม้ ได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอียิปต์ หรือในสมัยฮิปโปเคติส ในแพทย์ชาวกรีก ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการแพทย์ยังพบว่ามีการใช้พิษผึ้งเพื่อรักษาอาการเจ็บไขข้อและโรคปวดข้อ จีนมีการกล่าวถึงการใช้ผึ้งต่อยเพื่อรักษาโรค 
          ปัจจุบันมีหลายประเทศได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องให้ใช้รักษาคนไข้ได้วิธีการนี้ใช้หลักการเดียวกับการฝังเข็ม แต่ต่างตรงที่พิษผึ้งที่ถือกันว่าเป็นยาธรรมชาติ สำหรับคนไข้ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล การรักษาด้วยวิธีนี้นับได้ว่าเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนไข้อีกทาง
การรักษาด้วยวิธีผึ้งบำบัด

การรักษาผึ้งบำบัด

ในการรักษาด้วยผึ้งบำบัด จะมี 3 ประเภท
1.การใช้เหล็กไนของผึ้งมาต่อยรักษาโดยตรง แบ่งเป็น 2ลักษณะ
1.1  ต่อยตรงจุดกดเจ็บ (Trigger points)
จุดกดเจ็บ หมายถึง จุดที่เรากดลงไปแล้วรู้สึกปวด เจ็บแปลบ ๆ เหมือนมีก้อนแข็ง ๆ เล็ก ๆ ยังคงไม่สลายไป มีอาการเจ็บปวดมากที่สุด การหาจุดกดเจ็บทำได้โดยการใช้นิ้วมือคลำดูบริเวณที่มีอาการแล้วค่อยกดลงที่ ละจุด ถามผู้ป่วยว่าเจ็บมากไหม ถ้าผู้ป่วยแสดงอาการเจ็บมาก หรือบอกว่าเจ็บ แสดงว่าเป็นจุดที่มีปัญหา ซึ่งนิยมต่อยผึ้งทั้งตัวบริเวณจุดนี้ เช่นกลุ่มอาการปวดต่างๆ ปวดหัวไหล่ ปวดเข่า ปวดเอว ปวดขา ไมเกรน รูมาตอยด์ เกาต์ ฯลฯ
1.2 ต่อยตามจุดบนเส้นลมปราณ
การต่อยผึ้งตามจุดบนเส้นลมปราณ ใช้หลักการต่อยเหล็กในผึ้งลงบนจุดที่ใช้ในการฝังเข็มคล้ายๆกับการฝังเข็มแต่เปลี่ยนจากเข็มเหล็กมาเป็นเข็มเหล็กในผึ้ง โดยจะให้สรรพคุณเหมือนกับการฝังเข็มแต่ในเหล็กในผึ้งยังมีพิษผึ้งซึ่งจะช่วยในการบำบัดได้ต่อเนื่องกว่าการฝังเข็ม เช่น ไมเกรน รูมาตอยด์
2.การใช้พิษแห้ง
 ในการรักษา โดยการใช้พิษแห้งจะใช้หลังจากการต่อยผึ้งหรือกรณีที่ผู้ป่วยไม่ประสงค์ต่อย ผึ้ง วิธีการใช้พิษแห้งเราจะใช้ร่วมกับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการผลักพิษแห้งเข้าไปช่วยบรรเทาหรือรักษาบริเวณที่มีอาการปวด ต่างๆ เช่น ปวดส้นเท้า ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดข้อศอก ปวดข้อมือ เป็นต้น
3.การใช้พลาสเตอร์พิษผึ้งหรือยางผึ้ง
 การใช้ พลาสเตอร์พิษผึ้งจะใช้ในการรักษาหลังจากต่อยผึ้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการรักษามากขึ้น มักจะใช้รักษากับโรคต่างๆ เช่น การต่อยเลิกบุหรี่ ปวดข้อศอก ปวดส้นเท้า ต่อมน้ำลายอักเสบ เป็นต้น
การรักษาผึ้งบำบัด ของศูนย์พยาบาลในนครกาซาซิตี ปาเลสไตน์

สรรพคุณของพิษผึ้ง 

            พิษผึ้งประกอบด้วยสารเคมีหลายสิบชนิดมีทั้งโปรตีน น้ำตาล เอนไซม์ กรด ต่างๆ สารเคมีสำคัญๆหลายอย่างคือ ฮีสตามีน (Histamine) เซอโรโตนิ (Serotonin) โดพามิน (Dopamine) อะพามิน (Apamin) กรดอะมิโนและเอนไซม์อื่นๆ เพ็ปไทด์   ชื่อ mellittin เป็นสารหลักในพิษผึ้งมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่ง  สเตอรอยด์ของร่างกายเราเอง ซึ่งสร้างขึ้นอยู่แล้วโดยธรรมชาติ  สเตอรอยด์มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงอธิบายได้ส่วนหนึ่งว่าทำไมจึงใช้รักษาโรคที่มีอาการอักเสบและเจ็บปวดได้ เพราะว่าหลังจากผึ้งต่อย มีสารหลายตัวที่มีฤทธิ์ไวมาก ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและบวมอย่างรวดเร็ว เราพบว่าพิษผึ้งจะสกัดมากจากแหล่งใดในโลกก็ตาม จะประกอบด้วยสารเคมีชนิดเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผึ้งสังเคราะห์พิษขึ้นโดยไม่เกียวกับสถานที่ที่ผึ้งไป เก็บพืชอาหารเลย  นอกจากนี้มีผู้ทำการวิจัย แสดงผลอื่นๆ ของพิษผึ้งอีกมาก เช่นการสร้างเซลล์ใหม่ ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ส่วนพรอพอริสและน้ำผึ้ง มีสรรพคุณทางยา ใช้ฆ่าเชื้อโรค สมานแผลได้
ในสมัยโบราณใช้กินเป็นอาหารและเป็นยาอายุวัฒนะ ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกาใช้พิษผึ้งแก้โรครูมาติซั่ม (Rheumatism) หรือในยุโรปใช้รักษาอาการปวดข้อของผู้สูงอายุ โดยการใช้ผึ้งต่อยโดยตรงในการรักษาโรคนี้ พิษของผึ้งไม่ได้มีแต่โทษและยังมีประโยชน์อีกมาก ถ้ารู้จักใช้มันอย่างถูกวิธี
การรักษาด้วยพิษผึ้งไม่ได้เหมาะสมกับบุคคลทุกประเภท ทั้งนี้ กลุ่มอาการที่ไม่เหมาะต่อการรักษาด้วยผึ้งบำบัด ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหัวใจและไต กระดูกหัก หญิงตั้งครรภ์ สตรีระหว่างมีประจำเดือน ผู้มีบาดแผลมีเลือดออก เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ผู้มีอาการท้องเสียเฉียบพลัน โรคติดเชื้อเฉียบพลัน สุขภาพไม่แข็งแรง และต้องไม่อยู่ในอาการหิวหรืออิ่มจนเกินไป และผู้ที่เพิ่งดื่เหล้าหรือสูบบุหรี่


แหล่งข้อมูลอื่น


***มีการพิมพ์ครั้งแรก ในหนังสือชื่อรายงานเรื่องแปลกระหว่างโรครูมาติซึ่มกับพิษผึ้งต่อยพิมพ์เมื่อปี 1888 โดย ชาวออสเตรีย ชื่อ Phillip Terc  
***Charles Mraz (1905-1999) ผู้เลี้ยงผึ้งที่รัฐเวอร์มอนต์ สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำในการเผยแพร่ให้ผึ้งบำบัดเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายจนปัจจุบันมี ผู้ใช้ผึ้งบำบัดทั่วโลก ทั้งผู้ที่เป็นแพทย์และมิใช่แพทย์
***ด็อกเตอร์ Joshua L Hood จากมหาวิทยาลัยแพทย์ Washington University School of Medicine ในสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษา พิษผึ้ง พบว่าพิษผึ้งสามารถโจมตี และฆ่าเชื้อไวรัส เอชไอวี(HIV เชื้อเอดส์)ได้ ซึ่งต่างจากตัวยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่มีผลแค่ทำให้เชื้อเจริญเติบโตและ แพร่กระจายได้ช้าลงเท่านั้น โดยในพิษผึ้งมีสารเคมีที่ชื่อว่า Melittin ที่จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้เชื้อสัมผัสเซลล์ฺ และพิษจะเจาะชั้นป้องกันด้านนอกของเชื้อแล้วโจมตีเชื้อด้วยพิษเพื่อฆ่ามัน ทำให้ทีมวิจัยคิดว่ามันสามารถพัฒนาพิษผึ้งเป็นเจลทาอวัยวะเพศ สำหรับฆ่าเชื้อในกิจกรรมทางเพศ
***ดร.ฮัน ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยว่า พิษนี้ยังช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ที่เรียกว่าเคอราติโนไซต์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นปราการป้องกันแบคทีเรีย การสูญเสียน้ำและผิวเสียจากแดดด้วย โดยเคอราติโนไซต์ เป็นเซลล์ที่อยู่ส่วนบนสุดของผิวหนัง ซึ่งช่วยให้แลดูอ่อนเยาว์ แต่เมื่อเรามีอายุมากขึ้น จำนวนเซลล์นี้จะมีน้อยลง ทำให้ผิวหนังเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยตีนกา พิษผึ้งบริสุทธิ์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยเพิ่มจำนวนของเคอราติโนไซต์ ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น
ทำให้มีการโฆษณา ผลิตภัณฑ์ ครีมพิษผึ้ง Active Bee Venom Creamอย่างแพร่หลาย ทั้งที่ยังไม่มีผลการรับรองที่ชัดเจน   ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Bee Venom นี้ ต้องใช้กันด้วยความระมัดระวังและทดสอบการแพ้ก่อนเสมอ 

ข้อห้ามใช้ : ห้ามใช้ในผู้แพ้ผึ้งและผลิตภัณฑ์จากผึ้ง   


Caution DO NOT USE IF ALLERGIC TO BEES OR BEE PRODUCTS 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น